จดหมายถึงครอบครัว
จดหมายถึงครอบครัวที่แม่ผู้มีเมตตา ได้ทิ้งไว้ให้กับลูกของเธอ จากเนื้อหา เหมือนจะบันทึกเรื่องราวในอดีต ของตระกูลเอาไว้

จดหมายถึงครอบครัว

ถึงลูกรัก:

ตอนที่ลูกถามว่า บรรพบุรุษของเราใช้ชีวิตอยู่บนฟ้าได้ยังไง แม่ชอบบอกว่าเรื่องมันยาว ให้เล่าครึ่งวันก็คงไม่จบ แต่วันนี้เป็นโอกาสว่างที่หาได้ยากนัก แม่เลยอยากจดบันทึกเรื่องราวที่สืบทอดกันมาจากตระกูล ถือซะว่าเป็นของที่ระลึกให้ลูกก็แล้วกัน

ลูกรู้มั้ย? บรรพบุรุษของเราก็มีสถานที่ที่คล้ายกับตลาด Okhema เหมือนกัน ในโถงที่ผันเปลี่ยนระหว่างกลางวันและกลางคืน ผู้คนจากเผ่าพันธุ์ต่างๆ จะมารวมตัวกันเพื่อแลกเปลี่ยนสินค้า ของชาวอคิราห์จะเป็นปุยเมฆตากแดด ซึ่งเป็นวัสดุชั้นยอดที่ใช้ในการทอผ้า ส่วนชาวพิรุณนั้นขายน้ำค้างสายฟ้า ที่ว่ากันว่าถ้าทาลงบนใบหน้าจะทำให้ผิวเปล่งปลั่ง ส่วนชาวเหมันต์ก็ขายลูกอมผลึกน้ำแข็งที่ทำขึ้นเป็นพิเศษ เมื่อกัดลงไปจะค่อยๆ ละลายในปากอย่างช้าๆ และความหวานนั้นจะคงอยู่ทั้งวัน

ตอนเด็กๆ แม่ชอบฟังเรื่องเกี่ยวกับตลาดนี้สุดๆ ยายของลูกเล่าว่า ที่นั่นไม่ได้มีแค่การซื้อขายเท่านั้น แต่ยังมีคนที่มาแสดงแบบด้นสดบนแท่นเมฆาด้วย คนที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือนักร้องชาวเหมันต์ พวกเขาทำให้เกล็ดหิมะร่วงหล่นไปตามท่วงทำนองได้ ส่วนชาวพิรุณก็ถนัดในการใช้จังหวะสายฟ้าบรรเลงเพลง ซึ่งเข้าจังหวะกันได้อย่างลงตัว

...

อาหารแบบดั้งเดิมของเราน่าสนใจกว่าของ Okhema เยอะเลย แต่ละเผ่าพันธุ์ต่างก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว: ชาวอคิราห์ชอบจัดงานเลี้ยงแสงอาทิตย์ในตอนเที่ยง พวกเขาใช้ภาชนะผลึกแก้วที่ทำขึ้นเป็นพิเศษ แล้วใช้การหักเหแสงแดดมาย่างอาหารจนเป็นสีเหลืองทอง ส่วนชาวพิรุณชอบกินข้าวช่วงฝนฟ้าคะนองมาเยือน พวกเขาบอกว่าอากาศในเวลานี้สดชื่นที่สุด แม้แต่นมแกะเมฆาที่แสนธรรมดาก็ยังอร่อยขึ้นเป็นพิเศษ

แต่ที่โดดเด่นที่สุดคืองานเลี้ยงน้ำชาอันเย็นยะเยือกของชาวเหมันต์ พวกเขาจะตั้งโต๊ะยาวไว้ใต้ต้นไม้ที่ปกคลุมไปด้วยดอกไม้น้ำแข็ง และดื่มชาจากแสงดาว ซึ่งเมื่อเทลงในแก้วแล้วจะเป็นชาใส แต่ก็จะแสดงสีที่แตกต่างกันไปตามอุณหภูมิ ในตระกูลมีเรื่องตลกที่เล่าต่อกันมาว่า มีชาวพิรุณในงานน้ำชาคนหนึ่งที่ตื่นเต้นมากจนจามออกมา แล้วทำให้ชาบนโต๊ะทั้งหมดแข็งตัวเป็นน้ำแข็งย้อยเลยล่ะ

...

พวกเด็กๆ ก็ชอบเล่นซนเหมือนลูก แต่การละเล่นของพวกเขานั้นต่างจากบนผืนดิน ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือการเล่นไล่จับเงา เด็กๆ จะแบ่งเป็นหลายกลุ่ม แล้วไล่ล่ากันท่ามกลางหมู่เมฆาและแสงเงาที่ตัดผ่านกัน เด็กๆ ชาวอคิราห์มักจะวิ่งเร็วที่สุด แต่เด็กๆ ชาวพิรุณกลับชอบหาทางลัด ส่วนเด็กๆ ชาวเหมันต์ก็มีกลยุทธ์ที่ไม่อาจคาดเดาได้

ยังมีการละเล่นชนิดหนึ่งที่เรียกว่าระบำว่าววาโย ผู้เล่นจะต้องใช้ลมเพื่อทะยานขึ้นไปบนเมฆ อันที่จริงนอกจากจะเป็นสิ่งที่สนุกมากแล้ว นี่ยังเป็นการฝึกทักษะควบคุมกระแสลมที่มีประโยชน์มากๆ ด้วยนะ ปู่ของลูกบอกว่าตอนเป็นหนุ่ม เขาน่ะเป็นตัวเต็งระบำว่าววาโยเลยล่ะ ในการแข่งขันครั้งหนึ่ง เขาเคยทะยานขึ้นไปถึงบันไดเมฆาสามชั้น และได้รับคำชมมากมายเลยด้วย

...

ทุกครั้งที่แสงของ Aquila เปล่งประกายเจิดจ้า บรรพบุรุษของเราจะจัดงานเทศกาลแสงนภาอันยิ่งใหญ่ ทุกเผ่าพันธุ์จะละทิ้งความแตกต่างและเฉลิมฉลองร่วมกัน ชาวอคิราห์รับหน้าที่ถักทอแสงสว่างให้กลายเป็นแถบแสงหลากสีสัน ชาวพิรุณจะสร้างสะพานเมฆสีรุ้งที่สวยงามด้วยทักษะอันเป็นเอกลักษณ์ และชาวเหมันต์จะปล่อยเกล็ดหิมะเปล่งปลั่งลงมาจากที่สูง ทำให้ทั้งจิตรกรรมฝาผนังมีสีสันหลากหลาย และสวยงามจนทำให้ผู้คนแทบจะหยุดหายใจ

แต่งานที่น่าตื่นเต้นที่สุดคือเทศกาลอรุณสนธยาประจำปี นี่เป็นเทศกาลที่จัดขึ้นเพื่อฉลองตะวันลอยเลื่อนดวงเดือนลาลับ แถมยังเป็นโอกาสสำคัญที่จะได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกันระหว่างเผ่าพันธุ์ ผู้คนจะนำอาหารที่ชอบมา และเล่าเรื่องราวน่าสนใจที่เกิดขึ้นระหว่างปี ชาวอคิราห์มักจะแสดงทักษะการดึงแสง เพื่อให้แสงอาทิตย์ไหลผ่านระหว่างนิ้วของพวกเขา ส่วนชาวพิรุณจะถวายระบำสายฟ้า และเต้นรำตามจังหวะของสายฟ้า จากนั้นปิดท้ายด้วยชาวเหมันต์ ที่จะบรรเลงเพลงด้วยเครื่องดนตรีผลึกน้ำแข็งของพวกเขา ซึ่งว่ากันว่าเสียงนั้นสั่นสะท้านก้องไปทั่วท้องฟ้าเชียวล่ะ

พอเขียนมาถึงตรงนี้ แม่ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงคำพูดจากยายของลูกที่ว่า ถึงตอนนี้เราจะอาศัยอยู่บนพื้นดิน แต่ขอแค่เงยหน้ามองท้องฟ้า เราก็จะสัมผัสได้ถึงพรของบรรพบุรุษ

บางทีสักวันหนึ่ง เมื่อบาดแผลของ Aquila หายดี เราคงได้กลับบ้านของเราท่ามกลางหมู่เมฆาอีกครั้ง แต่กว่าจะถึงตอนนั้น ขอให้ทะนุถนอมชีวิตที่มีในตอนนี้ให้ดี และขอให้ลูกจดจำเรื่องพวกนี้เอาไว้ พวกมันคือมรดกล้ำค่าของเรา

จากแม่ผู้รักลูกตลอดไป